ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหน้าบริเวณต่าง ๆ เช่น ปาก, ใต้ตา, ร่องแก้ม, หน้าผาก, ขมับ เป็นต้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึกบริเวณใบหน้าให้ผิวดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และเต่งตึงขึ้น รวมไปถึงการฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้ดูได้สัดส่วนมากขึ้น
โดยฟิลเลอร์ที่ใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น (Hydration) และทดแทนคอลลาเจน รวมไปถึงไฮยาลูรอนที่ร่างกายสูญเสียไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น การฉีดสาร Hyaluronic Acid เข้าสู่ผิวจึงช่วยเติมเต็มชั้นผิวหนังให้มีความยืดหยุ่น เต่งตึง เรียบเนียน ดูสุขภาพดี รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยได้
ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการประเมินปัญหาผิว หรือปัญหาที่ต้องการแก้ไขก่อนการฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมตามแต่ละบุคคล รวมถึงแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่ควรใช้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น Botox, Hifu, Ulthera และ Thermage เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์เพื่ออะไร?
ฉีดฟิลเลอร์ช่วยอะไรบ้าง ฉีดฟิลเลอร์เพื่ออะไร? ตามธรรมชาติแล้วผิวของคนเราจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพตามอายุที่มากขึ้น และปัญหาผิวจะเริ่มตามมา ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย, ร่องลึก, หน้าตอบ, แก้มตอบ หรือริ้วรอยใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid จะช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย ช่วยเติมเต็มร่องลึกตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต เพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นให้กับผิว
นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถปรับรูปหน้าให้ดูสมมาตร ดูมีสัดส่วนขึ้น เป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังสามารถฉีดฟิลเลอร์มือ เพื่อแก้ปัญหามือแห้ง มือเหี่ยวย่นได้อีกด้วย
“หากฟิลเลอร์สลายหมดจะไม่ทำให้หน้าแก่ลง การฉีดฟิลเลอร์จะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น คอลลาเจนและอิลาสตินก็จะถูกสร้างขึ้นด้วย หลังฟิลเลอร์สลายหมดผิวก็จะดูสุขภาพดีกว่าตอนยังไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์ เพราะคอลลาเจนและอิลาสตินยังคงอยู่ในร่างกาย”
ประเภทของฟิลเลอร์มีกี่แบบ?
ฟิลเลอร์ (Filler) มี 3 ประเภท ได้แก่
1. Temporary Filler (ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว)
Temporary Filler หรือ ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว คือ ฟิลเลอร์ที่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และเป็นชนิดเดียวที่ผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นั่นคือ ฟิลเลอร์ชนิดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) สามารถอยู่ได้ประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ เมื่อฟิลเลอร์สลายตัวก็สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ
2. Semi Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร)
Semi Permanent Filler หรือ ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร คือ ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้หมด 100% ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรจะมีความปลอดภัยน้อยกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว สามารถอยู่ได้นานประมาณ 2-5 ปี ตัวอย่างฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร เช่น สารแคลเซียม, ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite), สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และ สาร Polyalkylimide เป็นต้น
สารเติมเต็มในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เนื่องจากไม่สามารถสลายได้หมด เมื่อฉีดไปนาน ๆ อาจเกิดปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนหรือการอักเสบตามมา ทำให้รักษาหรือแก้ไขได้ยาก ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรนี้มีใช้ในต่างประเทศ แต่ยังไม่ผ่านอย. ในประเทศไทย
3. Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบถาวร)
Permanent Filler หรือ ฟิลเลอร์แบบถาวร คือ ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้ เป็นฟิลเลอร์ที่อยู่แบบถาวร และเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านอย. โดยสารเติมเต็มในกลุ่มฟิลเลอร์แบบถาวรนี้ เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate microspheres) หลังฉีดไปแล้วผิวจะไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้ตกค้างอยู่ในชั้นผิว
ฟิลเลอร์แบบถาวรหรือที่เรียกว่าฟิลเลอร์ปลอมนี้ มีผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์ย้อยผิดรูป หรือกลายเป็นพังผืด การรักษาทำได้โดยผ่าตัดออกหรือขูดออกเท่านั้น ไม่มียาฉีดสลายฟิลเลอร์ ผู้ที่จะฉีดฟิลเลอร์จึงไม่ควรฉีดสารเติมเต็มชนิดนี้
สารเติมเต็มในฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง?
Hyaluronic Acid
สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) จัดอยู่ในกลุ่มสารฟิลเลอร์แบบชั่วคราว ร่างกายสามารถย่อยสลายเองได้ ซึ่งสารชนิดนี้จะจับตัวกับน้ำและพองขึ้นเป็นเจล มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง ดูชุ่มชื้น โดยสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน และเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ผ่านอย. ไทย
ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid มีอยู่ในฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ เช่น Juvederm, Restylane, Belotero, Neuramis, Yvoire เป็นต้น
สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับ Hyaluronic Acid สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ : ไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) สารเติมเต็มที่ช่วยให้ผิวอิ่มฟูได้จริงไหม?
Poly-L-lactic acid (PLLA)
สารเติมเต็ม Poly-L-lactic Acid หรือ PLLA เป็นสารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ แต่ไม่สามารถย่อยได้หมด 100% สารเติมเต็ม PLLA อยู่ได้นาน 2-5 ปี สารชนิดนี้ถูกใช้ในการแพทย์ เช่น ไหมละลาย ตะปูเกลียวยึดกระดูก เป็นต้น
Calcium Hydroxyapatite
สารเติมเต็ม Calcium Hydroxyapatite หรือ สารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร สามารถละลายได้บางส่วนแต่ก็ยังมีตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว หากปล่อยทิ้งไว้นานหลายปีอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ต้องทำการผ่าตัดขูดออกเท่านั้น นอกจากนี้ สารเติมเต็มชนิดนี้ยังมักนำมาใช้ในการเติมหน้าอกและสะโพกอีกด้วย
Polyalkylimide
สารเติมเต็ม Polyalkylimide หรือพลาสติกสังเคราะห์ เป็นสารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร มักใช้สำหรับรอยย่นลึก เช่น ร่องจมูกหรือรอยแผลเป็น สามารถย่อยสลายได้บางส่วน แต่ก็ยังมีสารตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว หากต้องการนำฟิลเลอร์ออกต้องทำการขูดออกเท่านั้น ไม่สามารถฉีดยาสลายฟิลเลอร์ได้
Polymethyl-methacrylate microspheres (PMMA)
สารเติมเต็มโพลีเมธิลเมธาไครเลต (PMMA) หรือ พลาสติกสังเคราะห์ เป็นฟิลเลอร์แบบถาวร ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเรียบ ขนาดเล็กมาก สาร PMMA นี้ยังเป็นวัสดุสำหรับผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens : IOL) หรือ Bone Cement เป็นต้น
คุณสมบัติต่างๆ ของฟิลเลอร์
- ความแข็ง (Elasticity)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็งสูงจะเหมาะกับการฉีดเพื่อปรับโครงหน้าในชั้นกระดูก ฉีดยกผิวชั้นลึก มีความทนต่อแรงกดในแนวตั้ง จึงเหมาะแก่การฉีดบริเวณคาง จมูก หรือฉีดเพื่อดึงหน้า ปรับโครงหน้าเป็นต้น
- ความยืดหยุ่น (Resilient)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าความยืดหยุ่นสูงจะทนต่อการขยับ ทนต่อแรงบิดในแนวนอน จึงเหมาะแก่การฉีดผิวบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ เช่น มุมปาก ร่องแก้ม แก้มตอบ
- ความกระจายตัว (Tissue Integration)
ฟิลเลอร์ที่มีความกระจายตัวจะเหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง ผิวบาง เพื่อให้ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วมีความเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน
- ค่าอุ้มน้ำ (Water Holding)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าอุ้มน้ำสูง เมื่อฉีดไปแล้วจะฟูมาก จึงเหมาะกับฉีดบริเวณร่องแก้ม ขมับ ไม่เหมาะกับการฉีดใต้ตา เพราะจะเห็นความบวมได้ชัดเจน
- จำนวนการเชื่อมพันธะ (Crosslink)
ฟิลเลอร์ที่มีจำนวนพันธะเยอะจะอยู่ได้นานขึ้น สลายได้ช้าลง และอุ้มน้ำน้อยลง ฟูน้อยลง มีค่ากระจายตัวปานกลาง ทนต่อแรงบิดแนวนอนได้ดี จึงเหมาะแก่การฉีดบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เด่นด้านเทคโนโลยี Crosslink คือ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm
- ขนาดเม็ดของฟิลเลอร์ (Particle size)
ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดฟิลเลอร์ใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้น และมีค่าความแข็งสูง การกระจายตัวต่ำ แต่จะไม่ทนต่อแรงบิดในแนวนอน หากฉีดในตำแหน่งที่มีการขยับบ่อย ๆ จะอยู่ได้ไม่นาน ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดใหญ่จึงเหมาะกับการยกหน้าในผิวชั้นลึกได้ดีที่สุด โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ Restylane จะโดดเด่นในเทคโนโลยีด้านนี้ เรียกว่า เทคโนโลยี NASHA เนื่องจากใช้การขดเส้นใยของ HA ร่วมกับการใส่ Crosslink ทำให้ฟิลเลอร์เป็นเม็ดละเอียด เนื้อฟิลเลอร์จึงมีค่าความแข็งสูง เหมาะกับการยกพยุงผิว
เนื้อฟิลเลอร์มีกี่แบบ
เนื้อฟิลเลอร์โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะแตกต่างกันไป เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อมีเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้คุณสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน โดยเนื้อฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง
ฟิลเลอร์เนื้อแข็งจะมีลักษณะเนื้อเจลเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าฟิลเลอร์เนื้อชนิดอื่น ๆ เมื่อบีบออกมาแล้วสามารถเห็นเป็นเส้น จึงทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็งแรง คงตัวได้ดี สามารถใช้ยกผิวในชั้นกระดูกได้
ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เช่น Juvederm Voluma, Restylane Perlane Lift, Belotero Volume และ Perfectha Subskin
- ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม
ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจลคล้ายเยลลี่ เนื้อนุ่ม ไม่เป็นก้อน เนื้อไม่เหลว และไม่เป็นน้ำเหมือนฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มเหมาะสำหรับฉีดในชั้นไขมัน
ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เช่น Juvederm Ultra Plus, Restylane Classic, Belotero Balance
- ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด
ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความบางเบาคล้ายน้ำ เนื้อเหลวมากกว่าฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เหมาะสำหรับฉีดในผิวชั้นตื้น และเหมาะกับการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ โดยการฉีดฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้
ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เช่น ฟิลเลอร์ Juverderm Volite, Restylane Vital Light, Belotero soft
บริเวณที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้
บริเวณไหนที่ฉีดฟิลเลอร์ได้? ฟิลเลอร์เหมาะกับการฉีดบนใบหน้า โดยจุดที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ คือ บริเวณใต้ตา, ปาก, คาง, ร่องแก้ม, จมูก, ขมับ และหน้าผาก
ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเห็นผล? หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลได้ทันที และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังจากผ่านไป 7-14 วัน การฉีดฟิลเลอร์มีข้อดีคือ ฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid จะสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างภายในร่างกาย
ฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา, ตาลึก, ตาโหล, ถุงใต้ตา และขอบตาดำ ให้กลับมาสดใส ผิวใต้ตาดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื้น และเต่งตึงมากขึ้น รวมไปถึงฉีดฟิลเลอร์ยังแก้ปัญหาใต้ตายุบตัวของกระดูกและเนื้ออีกด้วย
สำหรับการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้การเติมฟิลเลอร์ใต้ตากี่ cc นั้น ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาของแต่ละบุคคล ก่อนการเข้ารับหัตถการควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินปัญหาก่อน และหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถเห็นผลได้ทันที
โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ รุ่นของฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด อีกทั้งยังควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพราะผิวใต้ตาเป็นบริเวณที่ละเอียดอ่อนมาก หากแพทย์ขาดความชำนาญ อาจทำให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วตาบอดได้
ฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่ริมฝีปาก, ริมฝีปากบาง, ขอบปากคล้ำ, ปากแห้ง, ตกร่อง รวมถึงมุมปากตก ฟิลเลอร์ปากจึงช่วยเติมเต็มร่องปากให้ดูชุ่มชื้น อวบอิ่ม ไม่แห้ง และตกร่อง รวมไปถึงการฉีดฟิลเลอร์ปาก ยังสามารถปรับขนาดโครงสร้างปากให้เป็นรูปทรงที่สวยงามได้
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปากจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะเห็นผลทันที โดยทั่วไปฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด
ฟิลเลอร์คาง
การฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยแก้ปัญหาคางสั้น, คางเบี้ยว, คางไม่เท่ากัน, คางตัด รวมไปถึงฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมมาตรขึ้น ได้สัดส่วนมากขึ้น ดูเรียวสวย โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์คาง จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยฟิลเลอร์คางอยู่ได้แค่ 1-2 ปี ต่อการฉีด 1 ครั้ง หากไม่มีการมาเติมฟิลเลอร์ เนื้อฟิลเลอร์ก็จะสลายไปเองตามธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยแก้ปัญหาการยุบตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา และการยุบตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้มที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น และยังช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด รวมถึงแก้ปัญหาผิวแห้ง ชั้นผิวบางลง หลังทำสามารถเห็นผลได้ทันที
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล โดยฟิลเลอร์ร่องแก้มจะอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน แล้วแต่ยี่ห้อและรุ่นที่เลือก
ฟิลเลอร์จมูก
การฉีดฟิลเลอร์จมูกจะช่วยเพิ่มความคมของสันจมูกหรือปลายจมูกขึ้นเล็กน้อย สำหรับการฉีดฟิลเลอร์จมูก จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
การฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญการของแพทย์ เนื่องจากมีเส้นเลือดสำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งฟิลเลอร์จมูกยังไม่เหมาะกับคนที่วางแผนจะเสริมจมูกในอนาคต เพราะอาจเกิดปัญหาการยึดเกาะของแท่งซิลิโคนได้ หากฉีดฟิลเลอร์จมูกไปแล้วอยากผ่าตัดเสริมจมูก จะต้องขูดฟิลเลอร์ที่กระดูกจมูกตามแนวที่วางซิลิโคนออกก่อนเพื่อให้ซิลิโคนยึดเกาะจมูกได้ดีมากขึ้น
ฟิลเลอร์ขมับ
การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยปรับใบหน้าโดยรวมให้ดูสมดุล ได้สัดส่วนมากขึ้น ช่วยเติมเต็มบริเวณขมับตอบ ขมับลึก โดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ขมับยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยหางตาให้เต่งตึงขึ้น ชุ่มชื้นขึ้นได้อีกด้วย
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ตามปัญหาของแต่ละบุคคล โดยฟิลเลอร์ขมับจะอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือก
ฟิลเลอร์หน้าผาก
การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยแก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ มีร่องลึก รอยบุ๋มที่หน้าผาก ให้นูนขึ้น ฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยย่นที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจมีอาการบวมได้เป็นปกติ แต่จะหายไปเองเมื่อผ่านไปประมาณ 7-14 วัน และฟิลเลอร์หน้าผากสามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือกใช้